เมนู

7. ธนปาลเปตวัตถุ



ว่าด้วยเปรตหิว 55 ปี



พวกพ่อค้าถามเปรตตนหนึ่งว่า
[104] ท่านเปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด
ผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เห็นกระดูกซี่โครง
แน่ะเพื่อนยาก ท่านเป็นใครหนอ.

เปรตนั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็น
เปรต ทุกข์ยาก เกิดอยู่ในยมโลก ได้ทำกรรมอัน
ลามกไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก.

พวกพ่อค้าถามว่า
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกายวาจาใจ
หรือ เพราะวิบากแห่งอะไร ท่านจึงจากโลกนี้ไป
สู่เปตโลก.

เปรตนั้นตอบว่า
มีพระนครของพระเจ้าทสันนราช ปรากฏ
นานว่า เอรกัจฉะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีอยู่
ในนครนั้น ประชาชนเรียกข้าพเจ้าว่า ธนปาล-
เศรษฐี ข้าพเจ้ามีเงิน 80 เล่มเกวียน ทองคำ แก้ว-

มุกดา แก้วไพฑูรย์ ก็มีมากมายเหลือที่จะนับ
แม้ข้าพเจ้าจะมีทรัพย์มากมายถึงเพียงนั้น ก็ไม่รัก
ที่จะให้ทาน ปิดประตูบริโภคอาหารด้วยคิดว่า
พวกยาจกอย่าได้เป็นเรา ข้าพเจ้าไม่มีศรัทธา เป็น
คนตระหนี่เหนียวแน่น ได้ด่าว่าพวกยาจก และ
ห้ามปรามมหาชนผู้ให้ทานทำบุญ เป็นต้น ด้วยคำ
ว่า ผลแห่งทานไม่มี ผลแห่งการสำรวมจักมีแต่
ที่ไหน ได้ทำลายสระน้ำ บ่อนำที่เขาขุดไว้ สวน
ดอกไม้ สวนผลไม้ ศาลาน้ำ และสะพานในที่ดิน
ลำบาก ที่เขาปลูกสร้างให้พินาศ ข้าพเจ้านั้นไม่ได้
ทำความดีไว้เลย ทำแต่ความชั่วไว้ จุติจากชาติ
นั้นแล้ว บังเกิดในปิตติวิสัย เพียบพร้อมไปด้วย
ความหิวกระหายตลอด 55 ปี ตั้งแต่ตายแล้ว
ข้าพเจ้ายังไม่ได้กินข้าวและน้ำเลยแม้แต่น้อย การ
สงวนทรัพย์ คือ ไม่ให้แก่ใคร ๆ เป็นความพินาศ
ของสัตว์ทั้งหลาย ความฉิบหายก็คือการสงวน
ทรัพย์ ได้ยินว่าเปรตทั้งหลายรู้ว่า การสงวน
ทรัพย์คือการไม่ให้แก่ใคร ๆ เป็นความพินาศ
เมื่อก่อนข้าพเจ้าสงวนทรัพย์ไว้ เมื่อทรัพย์มีอยู่
เป็นอันมาก ไม่ให้ทาน เมื่อไทยธรรมมีอยู่ ไม่ทำ
ที่พึ่งแก่ตน ข้าพเจ้าได้รับผมแห่งกรรมของตน

จึงเดือดร้อนในภายหลัง พ้นจาก 4 เดือนไปแล้ว
ข้าพเจ้าจักตาย จักไปตกนรกอันเผ็ดร้อนสาหัส
มี 4 เหลี่ยม 4 ประตู จำแนกเป็นห้อง ๆ ล้อม
ด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของ
นรกนั้น ล้วนแล้วด้วยทองแดงลุกเป็นเปลวเพลิง
ประกอบด้วยความร้อน แผ่ไปตลอดร้อยโยชน์
โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ข้าพเจ้าจักต้องเสวยทุกข-
เวทนาในนรกนั้นตลอดกาลนาน ก็การเสวย
ทุกขเวทนาเช่นนี้ เป็นผลแห่งกรรมอันชั่ว เพราะ
ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเศร้าโศกที่จะไปเกิดในนรกอัน
เร่าร้อนนั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้า
ขอเดือนท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน
ทั้งหลายผู้มาประชุมกันในที่นี้ พวกท่านอย่าได้
ทำบาปกรรมในที่ไหน ๆ คือ ในที่แจ้งหรือที่ลับ
ถ้าพวกท่านจักกระทำ หรือกระทำบาปกรรมนั้น
ไว้ แม้พวกท่านจะเหาะหนีไปอยู่ที่ไหน ก็ย่อม
ไม่พ้นไปจากทุกข์ ขอท่านทั้งหลายจงเลี้ยงมารดา
จงเลี้ยงบิดา ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล
เป็นผู้เกื้อกูลแก่สมณะและพราหมณ์ ท่าน
ทั้งหลายจักไปสวรรค์ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้
บุคคลจะอยู่ในอากาศ ในท่ามกลางมหาสมุทร

หรือเข้าไปสู่ช่องภูเขา จะพึงพ้นจากบาปกรรม
ไม่มี หรือบุคคลอยู่ในส่วนแห่งภาคพื้นใด พึงพ้น
จากบาปกรรม ส่วนแห่งภาคพื้นนั้นไม่มี.

จบ ธนปาลเปตวัตถุที่ 7

อรรถกถาธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุที่ 7

พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภเปรตธนบาล จงตรัสพระคาถานี้มีคำเริ่มต้นว่า นคฺโค
ทุพฺพณฺณรูโปสิ.

ได้ยินว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติในนครเอรกัจฉะ-
ปัณณรัฐ ยังมีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อว่า ธนปาลกะ เป็นผู้ไม่มีศรัทธา
ไม่มีความเลื่อมใส เป็นคนตระหนี่ เป็นนัตถิกทิฏฐิบุคคล กิริยา
ของเขาปรากฏตามพระบาลีนั่นแหละ. เขาทำกาละแล้วบังเกิด
เป็นเปรตในกันตารทะเลทราย เขามีร่างกายประมาณเท่าลำต้นตาล
มีผิวหนังปูดขึ้นหยาบ มีผมยุ่งเหยิง น่าสะพึงกลัว มีรูปพรรณ
น่าเกลียด มีรูปขี้เหร่พิลึก เห็นเข้าน่าสะพึงกลัว เขาไม่ได้เมล็ดข้าว
หรือหยาดน้ำตลอด 55 ปี มีคอ ริมฝีปาก และลิ้นแห้งผาก ถูกความ
หิวกระหายครอบงำ เที่ยวงุ่นง่านไปทางโน้นทางนี้.
ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้น
ในโลก ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร ประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี
โดยลำดับ พ่อค้าชาวกรุงสาวัตถีบรรทุกสิ้นค้าเต็ม 500 เล่มเกวียน

ไปยังอุตตราปถชนบท ขายสินค้า แล้วเอาเกวียนบรรทุกสินค้า
ที่ได้กลับมา ในเวลาเย็น ถึงแม่น้ำแห้งสายหนึ่ง จึงปลดเกวียน
ไว้ในที่นั้น พักแรมอยู่ราตรีหนึ่ง ลำดับนั้น เปรตนั้นถูกความ
กระหายครอบงำมาเพื่อต้องการน้ำดื่ม ไม่ได้น้ำดื่มแม้สักหยาดเดียว
ในที่นั้น หมดหวัง ขาอ่อนล้มลง เหมือนตาลรากขาดฉะนั้น. พวก
พ่อค้าเห็นดังนั้น จึงพากันถามด้วยคาถานี้ว่า :-
ท่านเปลือกกายมีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม
สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เห็นกระดูกซี่โครง แน่ะ
เพื่อนยาก ท่านเป็นใครกันหนอ.

ลำดับนั้นเปรตตอบว่า :-
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเปรตทุกข์ยาก
เกิดในยมโลก ทำกรรมชั่วไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่
เปตโลก.

ครั้นอ้างตนดังนี้แล้ว ถูกพ่อค้าถามถึงกรรมที่เขาทำอีกว่า :-
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกายวาจาและ
ใจ เพราะวิบากของกรรมอะไร จึงจากโลกนี้ไป
ยังเปตโลก.

เมื่อจะแสดงประวัติของตน ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
เดิมแต่ที่ที่ตนเกิดในกาลก่อน และเมื่อจะให้โอวาทแก่พวกพ่อค้า
ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ความว่า :-

มีพระนครของพระเจ้าทสันนราช1 ปรากฏ
นามว่า เอรกัจฉะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเศรษฐี
อยู่ในพระนครนั้น ประชาชนเรียกข้าพเจ้าว่า
ธนปาลเศรษฐี ข้าพเจ้ามีเงิน 80 เล่มเกวียน
ทองคำ แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ ก็มีมากมาย
เหลือที่จะนับ แม้ข้าพเจ้า จะมีทรัพย์มากมายถึง
เพียงนั้น ก็ไม่รักที่จะให้ทาน ปิดประตูบริโภค
อาหาร ด้วยคิดว่า พวกยาจก อย่าได้เห็นเรา
ข้าพเจ้าไม่มีศรัทธา เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น
ได้ด่าพวกยาจกและห้ามปรามมหาชน ผู้ให้ทาน
ทำบุญเป็นต้น ด้วยคำว่า ผลแห่งทานไม่มี ผล
แห่งการสำรวมจักมีแต่ที่ไหน ได้ทำลายสระน้ำ
บ่อน้ำ ที่ขุดไว้ สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ศาลาน้ำ
และสะพานในที่เดินลำบาก ที่เขาปลูกสร้างให้
พินาศไป ข้าพเจ้านั้นไม่ได้ทำคุณงามความดีไว้
เลย ทำแต่กรรมชั่วไว้ จุติจากชาตินั้นแล้ว เกิด
ในเปตวิสัย เพียบพร้อมไปด้วยความหิวกระหาย
ตลอด 55 ปี ตั้งแต่ตายแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่ได้กิน
ข้าวและน้ำเลย แม้แต่น้อย การสงวนทรัพย์ คือ

1. ม. พระเจ้าปัณณราช (ปณฺณานํ).

ไม่ให้แก่ใคร ๆ เป็นความพินาศ ของสัตว์
ทั้งหลาย ความฉิบหายก็คือ ความสงวนทรัพย์
ได้ยินว่า เปรตทั้งหลายรู้ว่า การสงวนทรัพย์ คือ
การไม่ให้แก่ใคร ๆ เป็นควานพินาศ เมื่อก่อน
ข้าพเจ้าสงวนทรัพย์ไว้ เมื่อทรัพย์มีอยู่เป็นอัน
มาก ไม่ให้ทาน เมื่อไทยธรรมมีอยู่ ไม่ทำที่พึ่ง
แก่ตน ข้าพเจ้าได้รับผลแห่งกรรมของตน จึง
เดือดร้อนในภายหลัง พ้นจาก 4 เดือนไปแล้ว
ข้าพเจ้าจักตาย จักตกนรกอันเผ็ดร้อนสาหัส มี
4 เหลี่ยม 4 ประตู จำแนกเป็นห้อง ๆ ล้อมด้วย
กำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรก
นั้น ล้วนแล้วด้วยทองแดง ลุกเป็นเปลวเพลิง
ประกอบด้วยความร้อน แผ่ไปตลอดร้อยโยชน์
โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ข้าพเจ้าจักต้องเสวยทุกข-
เวทนา ในนรกนั้นตลอดกาลนาน การเสวย
ทุกขเวทนาเช่นนี้ เป็นผลของกรรมชั่ว เพราะ
ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเศร้าโศกที่จะไปเกิดในนรกอัน
เร่าร้อนนั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้า
ขอเตือนท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน
ทั้งหลาย ผู้มาประชุมกันในที่นี้ พวกท่านอย่าได้
ทำกรรมชั่ว ในที่ไหน ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่แจ้งหรือ

ที่ลับ ถ้าว่าพวกท่านจักกระทำ หรือกำลังทำกรรม
ชั่วนั้นไว้ แม้พวกท่านจะเหาะหนีไป ในที่ไหน ๆ
ก็ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ขอท่านทั้งหลาย จงเลี้ยง
มารดา จงเลี้ยงบิดา ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่
ในตระกูล เป็นผู้เกื้อกูลแก่สมณะ และพราหมณ์
ท่านทั้งหลาย จักไปสวรรค์ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสนฺนานํ ได้แก่ พระราชาของ
รัฐชื่อว่า ทสันนา ผู้มีชื่ออย่างนั้น บทว่า เอรกจฺฉํ ได้แก่ เป็นชื่อของ
พระนครนั้น. บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในนครนั้น. บทว่า ปุเร ได้แก่
ในกาลก่อน คือ ในอัตภาพอันเป็นอดีต. บทว่า ธนปาโลติ มํ วิทู
ความว่า พวกชนเรียกเราว่า ธนปาลเศรษฐี. เปรตเมื่อจะแสดงว่า
ขึ้นชื่อว่า ทรัพย์เช่นนี้นั้น ย่อมติดตามเป็นประโยชน์แก่เรา ในกาล
นั้นนั่นแล จึงกล่าวคาถาว่า อสีติ ดังนี้เป็นต้น. มีโยชนาว่า
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสีติ สกฏวาหานํ ความว่า 20 ขาริกะ
เป็น 1 วาหะ ที่ท่านเรียกว่า 1 เกวียน ข้าพเจ้ามีเงินและกหาปณะ
80 เล่มเกวียน. บทว่า ปหูตํ เม ชาตรูปํ เชื่อมความว่า แม้ทองคำ
ก็มีมากมาย คือ มีประมาณหลายหาบ.
บทว่า น เม ทาตุํ ปิยํ อหุ ความว่า ข้าพเจ้า ไม่ได้มีความ
รักที่จะให้ทาน. บทว่า มา มํ ยาจนกาทฺทสุํ ความว่า ปิดประตูเรือน
บริโภค ด้วยหวังว่า พวกยาจกอย่าได้เห็นเรา. บทว่า กทริโย
ได้แก่ มีความตระหนี่เหนียวแน่น. บทว่า ปริภาสโก ความว่า

เห็นเขาให้ทาน ก็ขู่ให้กลัว. บทว่า ททนฺตานํ กโรนฺตานํ เป็น
ฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ, แปลว่า ผู้ให้ทาน ผู้ทำบุญ.
บทว่า พหู ชเน แปลว่า ซึ่งสัตว์เป็นอันมาก. ข้าพเจ้าห้ามคือ
ป้องกัน ชนเป็นอันมาก ผู้เป็นกลุ่มของตนผู้ให้ทาน หรือทำบุญ
จากบุญกรรม.
บทว่า วิปาโก นตฺถิ ทานสฺส เป็นต้น เป็นบทแสดงเหตุการ
ห้ามในการให้ทานเป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิปาโก
นตฺถิ ทานสฺส
ท่านแสดงว่า ขึ้นชื่อว่า ผลแห่งการทำทานไม่มี
มีแต่บุญ บุญ อย่างเดียว ฉะนั้น ทรัพย์จึงพินาศไปถ่ายเดียว.
บทว่า สํยมสฺส แปลว่า การสำรวมศีล. บทว่า กุโต ผลํ ความว่า
ผลจะได้แต่ที่ไหน, อธิบายว่า การรักษาศีลไม่มีประโยชน์เลย
บทว่า อารามานิ ความว่า สวนดอกไม้และสวนผลไม้. บทว่า
ปปาโย ได้แก่ ศาลาน้ำ. บทว่า ทุคฺเค ได้แก่ สถานที่ที่ไปลำบาก
เพราะมีน้ำและมีโคลน. บทว่า สงฺกมนานิ ได้แก่ สะพาน. บทว่า
ตโต จุโต แปลว่า จุติจากมนุษยโลกนั้น. บทว่า ปญฺจปญฺญาส
แปลว่า 55 ปี. บทว่า ยโต กาลงฺกโต อหํ แก้เป็น ยถา กาลกโต อหํ
แปลว่า เหมือนข้าพเจ้าตายไปแล้ว คือตั้งแต่ข้าพเจ้าตายไป. บทว่า
นาภิชานามิ ความว่า ข้าเจ้าไม่ได้รู้อะไร ไม่ว่าจะเป็นข้าวหรือน้ำ
ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้.
บทว่า โย สํยโม โส วินาโส ความว่า การสำรวมก็คือ
การไม่ให้อะไรแก่ใคร ๆ ด้วยอำนาจความโลภเป็นต้นนั้น ชื่อว่า


เป็นความพินาศของสัตว์เหล่านี้ เพราะเปรตที่เกิดในกำเนิดเปรต
เป็นเหตุแห่งความวอดวายอย่างใหญ่หลวง. ด้วยคำว่า โย วินาโส
โส สํยโม
นี้ เปรตแสดงว่า ประโยชน์ตามที่กล่าวแล้ว เป็นประโยชน์
อย่างแน่นอน. หิ ศัพท์ในคำว่า เปตา หิ กิร ชานนฺติ นี้ เป็นนิบาต
ใช้ในอวธารณะ, กิร ศัพท์ เป็นนิบาติ ใช้ใน อรุจิสูจนัตถะ.
ได้ยินว่า พวกเปรตเท่านั้น จึงจะรู้ความนี้ว่า การสงวนคือ การ
ไม่บริจาคไทยธรรม เป็นเหตุแห่งความพินาศ เพราะตนถูกความ
หิวกระหาย ครอบงำอยู่โดยเห็นได้ชัด ไม่ใช่พวกมนุษย์. ข้อนี้
ไม่สมควรเลย เพราะแม้พวกมนุษย์ก็ยังถูกความหิวกระหายเป็นต้น
ครอบงำปรากฏอยู่เหมือนพวกเปรต. แต่พวกเปรตรู้เรื่องนั้นดีกว่า
เพราะกรรมที่ตนทำไว้ในอัตภาพก่อนปรากฏชัด. ด้วยเหตุนั้น
เปรตนั้นจึงกล่าวว่า ในชาติก่อน เราสงวนทรัพย์ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํยมิสฺสํ ความว่า แม้ตนเองก็ได้
กระทำการสงวน คือ การย่นและย่อจากบุญกิริยา มีการให้ทาน
เป็นต้น. บทว่า พหุเก ธเน ได้แก่ เมื่อทรัพย์เป็นอันมากมีอยู่.
บทว่า ตํ แปลว่า เพราะเหตุนั้น. บทว่า โว แปลว่า ท่าน
ทั้งหลาย. บาลีที่เหลือว่า ภทฺทํ โว พึงนำมาเชื่อมเข้าด้วยคำว่า
กรรมอันเจริญ คือ กรรมดี ได้แก่ กรรมงาม จงมีแก่พวกท่าน.
บทว่า ยาวนฺเตตฺถ สมาคตา มีอธิบายว่า พวกท่านมีประมาณเท่าใด
คือ มีประมาณเพียงใด มาประชุมกันในที่นี้ ทั้งหมดนั้น จงฟังคำ
ของข้าพเจ้า. บทว่า อาวี ได้แก่ คำประกาศ โดยปรากฏแก่คน

เหล่าอื่น. บทว่า รโห ได้แก่ คำลี้ลับ โดยเป็นคำไม่ปรากฏแก่ชน
เหล่าอื่น. อธิบายว่า ท่านทั้งหลาย อย่าทำ คือ อย่ากระทำ ซึ่ง
กรรมชั่วช้าลามก ได้แก่อกุศลกรรม ในที่แจ้ง ด้วยอำนาจกายปโยค
มีปาณาติปาตเป็นต้น และวจีปโยค มีมุสาวาทเป็นต้น หรือในที่ลับ
ด้วยอำนาจอกุศลกรรมมีอภิชฌาเป็นต้น.
บทว่า สเจ ตํ ปาปกํ กมฺมํ ความว่า ก็ถ้าพวกท่านจัก
การทำกรรมชั่วนั้นในอนาคต หรือกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน, ความ
หลุดพ้นจากทุกข์อันเป็นผลของกรรมชั่วนั้น ชื่อว่า ความหลุดพ้น
ด้วยอำนาจ ความเป็นมีอายุน้อย เป็นต้น ในอบาย 4 มีนรกเป็นต้น
และในหมู่มนุษย์ ย่อมไม่มี. บทว่า อุปฺปจฺจาปิ ปลายตํ ความว่า
แม้เมื่อพวกท่านจะออกไปก็ตามที ก็พ้นไปไม่ได้เลย. บาลีว่า
อุเปจฺจ ก็มี. อธิบายว่า เมื่อพวกท่าน แม้จงใจคือแกล้ง หนีไปโดย
ประสงค์ว่า กรรมชั่ว จักติดตามพวกท่านผู้หนีไปทางโน้นทางนี้
ความพ้นจากกรรมชั่วนั้น ย่อมไม่มี แต่เมื่อความประชุมแห่งปัจจัย
อื่น มีคติและกาลเป็นต้น ยังมีอยู่ กรรมชั่วนั้น ยังให้ผลได้เหมือนกัน.
ก็ความนี้ พึงแสดงด้วยคาถานี้ว่า :-
บุคคลจะอยู่ในอากาศ ในท่ามกลาง
มหาสมุทร หรือเข้าไปสู่ช่องเขา จะพึงพ้นจาก
กรรมชั่วไม่มี หรือบุคคลอยู่ในส่วนแห่งภาคพื้น
ใด พึงพ้นจากกรรมชั่ว ส่วนแห่งภาคพื้นนั้นก็
ไม่มี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มตฺเตยฺยา แปลว่า เกื้อกูลแก่
มารดา. บทว่า โหถ ความว่า ท่านจงกระทำอุปัฏฐากเป็นต้นแก่
มารดาบิดาเหล่านั้น. บทว่า เปตฺเตยฺยา ก็พึงทราบอย่างนั้น. บทว่า
กุเล เชฏฺฐาปจายิกา แปลว่า เป็นผู้กระทำการนอบน้อมแก่ผู้ใหญ่
ในตระกูล. บทว่า สามญฺญา ได้แก่ เป็นผู้บูชาสมณะ. บทว่า
พฺรหฺมญฺญา ก็เหมือนกัน มีอธิบายว่า ผู้บูชาท่านผู้ลอยบาป ด้วย
บทว่า เอวํ สคฺคํ คิมสฺสถ นี้ มีอธิบายว่า ท่านทั้งหลาย กระทำบุญ
โดยนัยที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว จักเข้าถึงเทวโลก. ก็ในเรื่องนี้ บทที่
ไม่ได้จำแนกไว้โดยอรรถ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ในขัลลาฏิย-
เปติวัตถุเป็นต้นในหนหลัง.
พวกพานิชเหล่านั้น ได้สดับคำของเปรตทั้งหลาย เกิดความ
สังเวช เมื่อจะอนุเคราะห์เปรตนั้น จึงเอาภาชนะตักน้ำดื่มมา ให้
เขานอนลงแล้ว กรอกเข้าทางปาก. แต่นั้นน้ำที่มหาชน ลาดลง
หลายครั้ง ก็ไม่ไหลลงสู่ลำคอ เพราะพลังแห่งกรรมชั่วของเปรต
นั้น. จักกำจัดความกระหายได้ที่ไหนเล่า. พ่อค้าเหล่านั้นจึงถาม
เปรตว่า ท่านได้ความโปร่งใจอะไรบ้างไหม ? เปรตนั้นตอบว่า
ถ้าน้ำที่ชนมีประมาณเพียงนี้ กรอกเข้าไปตลอดเวลาเพียงเท่านี้
แม้เพียงสักหยดเดียวก็ไม่เข้าไปในลำคอเรา กับไหลเข้าลำคอ
ของคนอื่นไปหมด, ความหลุดพ้นไปจากกำเนิดเปรตนี้ จงอย่ามีเลย.
ลำดับนั้น พ่อค้าเหล่านั้น ได้ฟังดังนั้น จึงเกิดความสังเวชยิ่งนัก
พากันกล่าวว่า ก็อุบายอะไร ๆ เพื่อระงับความกระหายมีบ้างไหม ?

เปรตตอบว่า เมื่อกรรมชั่วนี้สิ้นไป เมื่อพวกญาติถวายทานแต่
พระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต อุทิศทานให้แก่เรา,
เราก็จักพ้นจากความเป็นเปรตนี้ไปได้. พวกพ่อค้าได้ฟังดังนั้น
จึงพากันไปกรุงสาวัตถี เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลเรื่องนั้น
รับสรณคมน์และศีล ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประธาน ตลอด 7 วัน แล้วอุทิศส่วนบุญแก่เปรตนั้น. พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ แล้วแสดง
ธรรมแก่บริษัททั้ง 4. และมหาชนละมลทิน คือความตระหนี่ มี
โลภะเป็นต้น ได้เป็นผู้ยินดียิ่งในบุญมีทานเป็นต้น ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุที่ 7

8. จูฬเสฏฐีเปตวัตถุ



ว่าด้วยบรรพชิตตระหนี่เป็นเปรตเปลือยผอม



พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสถามจูฬเศรษฐีเปรตว่า :-
[105] ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นบรรพชิต
เปลือยกายซูบผอม เพราะเหตุแห่งกรรมอะไร
ท่านจะไปที่ไหนในราตรีเช่นนี้ ขอท่านจงบอก
การที่ท่านจะไปแก่เราเถิด เราสามารถจะให้
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแก่ท่านด้วยความอุตสาหะ
ทั้งปวง.

จูฬเศรษฐีเปรตกราบทูลว่า
เมื่อก่อนพระนครพาราณสีมีกิตติคุณเลื่อง
ลือไปไกล ข้าพระองค์เป็นคฤหบดีผู้มั่งคั่งอยู่ใน
พระนครนั้น แต่เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่นไม่
เคยให้สิ่งของแก่ใคร ๆ มีใจข้องอยู่ในอามิส
ได้ถึงวิสัยแห่งพญายมเพราะความเป็นผู้ทุศีล
ข้าพระองค์ลำบากแล้วเพราะความหิวเสียดแทง
เพราะบาปกรรมเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพระ-
องค์ปรารถนาอามิส จึงได้มาหาหมู่ญาติ มนุษย์
แม้เหล่าอื่นมีปกติไม่ให้ทาน และไม่เชื่อว่า